ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท ตามกฎหมายไทยมีอะไรบ้าง? ทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ

ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท

ในยุคที่ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมมีมูลค่ามหาศาล การสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน เพลง ภาพยนตร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ล้วนเป็นทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ที่มีคุณค่าและต้องได้รับการปกป้องดูแลอย่างเหมาะสม หัวใจสำคัญของการปกป้องผลงานสร้างสรรค์เหล่านี้ในประเทศไทยก็คือ “กฎหมายลิขสิทธิ์” นั่นเอง ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดขอบเขตของผลงานที่ได้รับการคุ้มครองไว้อย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็น ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท ด้วยกัน

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่าลิขสิทธิ์มาบ่อยครั้ง แต่อาจยังไม่เข้าใจรายละเอียดที่ลึกซึ้งว่าผลงานที่เราสร้างขึ้นนั้นจัดอยู่ในประเภทไหน และได้รับการคุ้มครองอย่างไรบ้าง บทความนี้ AKIP Venture จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท ตามกฎหมายไทยแบบง่าย ๆ เพื่อให้คุณสามารถปกป้องสิทธิ์และใช้ประโยชน์จากผลงานสร้างสรรค์ของคุณได้อย่างมั่นใจ

ลิขสิทธิ์ คืออะไร?

ลิขสิทธิ์ (Copyright) หมายถึง สิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ในการควบคุมการใช้ผลงานที่ตนได้สร้างสรรค์ขึ้นมา ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม โดยกฎหมายได้ระบุขอบเขตการคุ้มครองอย่างชัดเจนว่าคุ้มครอง “การแสดงออกของความคิด” (Expression of Ideas) โดยไม่ครอบคลุมถึง “แนวคิด” (Idea) หรือกระบวนการทำงานที่อยู่เบื้องหลัง เช่น กฎหมายคุ้มครองหนังสือที่เขียนเสร็จแล้ว ไม่รวมถึงไอเดียของเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลัง ดังนั้น การสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นต้นฉบับและมีการแสดงออกให้เห็นเป็นรูปธรรมจึงเป็นหัวใจสำคัญของการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

สิ่งสำคัญที่ผู้สร้างสรรค์ทุกคนควรรู้คือ ลิขสิทธิ์ นั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติทันทีที่ผลงานถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาสมบูรณ์ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยไม่จำเป็นต้องไปยื่นจดทะเบียนหรือดำเนินการตามพิธีการใด ๆ เลย ซึ่งแตกต่างจากการปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การยื่นแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะช่วยให้คุณมีหลักฐานทางกฎหมายที่ชัดเจนในการยืนยันความเป็นเจ้าของและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น การที่เราเข้าใจขอบเขตของ ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท จะช่วยให้เราสามารถใช้สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่ผลงานของเราได้อย่างเต็มที่

ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท มีอะไรบ้าง?

ตามกฎหมายไทย ลิขสิทธิ์แบ่งออกเป็น 9 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทจะคุ้มครองผลงานที่แตกต่างกันไปดังนี้

กฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยให้ความคุ้มครองแก่งานสร้างสรรค์ที่เกิดจากการใช้สติปัญญาและความอุตสาหะของผู้สร้างสรรค์ โดยได้แบ่งประเภทของงานที่ได้รับความคุ้มครองไว้อย่างครอบคลุมถึง ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท ซึ่งเป็นหมวดหมู่หลักในการจำแนกผลงานสร้างสรรค์ทุกชนิด เพื่อให้ผู้สร้างสรรค์ได้รับความเป็นธรรมและสามารถใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการทำประโยชน์จากงานของตนเองได้

1. งานวรรณกรรม

งานวรรณกรรม (Literary Work) คืองานที่ถ่ายทอดออกมาด้วย ตัวอักษร ภาษา หรือสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นงานเขียนทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสิ่งพิมพ์หรือดิจิทัล โดยคุ้มครองทั้งเนื้อหาและโครงสร้างการจัดเรียงที่มีความคิดสร้างสรรค์

  • งานที่ได้รับการคุ้มครอง: หนังสือ (นวนิยาย, ตำรา, สารคดี), บทความ, บทกวี, บทละคร, คำปราศรัย, จุลสาร, เอกสารสิ่งพิมพ์, บทเพลง (เฉพาะส่วนเนื้อร้อง), บทเรียนออนไลน์, คู่มือการใช้งาน, คำแปล, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (โค้ดโปรแกรม และลำดับคำสั่ง), รหัสโปรแกรม (ทั้ง Source Code และ Object Code) และฐานข้อมูลที่มีการจัดเรียงอย่างเป็นระบบ

หากโปรแกรมมีฟังก์ชันใหม่หรือวิธีแก้ปัญหาเชิงเทคนิคที่แปลกใหม่ อาจพิจารณาขอสิทธิบัตรแทน เพราะแนวคิดหรือกลไกการทำงานภายในไม่ได้อยู่ในขอบเขตของลิขสิทธิ์

2. งานนาฏกรรม

งานนาฏกรรม (Dramatic Work) หมายถึงงานที่เกี่ยวกับการแสดงออกด้วยการ เคลื่อนไหวร่างกาย หรือการจัดเรียงท่าทางอย่างมีขั้นตอน เพื่อสื่อสารเนื้อหาหรือเรื่องราว โดยเน้นไปที่การออกแบบท่าทาง (Choreography) ที่สร้างสรรค์

  • งานที่ได้รับการคุ้มครอง: การออกแบบท่าเต้น (Dance Choreography), การรำ, การเต้น ที่มีท่วงท่าจัดเรียงเป็นเรื่องราว, การแสดงโขน, ละครใบ้, ละครเวที (ในส่วนของการจัดท่าทางและ Blocking การแสดง), และการจัดลำดับท่าทางเพื่อใช้ในการแสดง

3. งานศิลปกรรม

งานศิลปกรรม (Artistic Work) ครอบคลุมงานศิลปะทุกแขนงที่แสดงออกถึง ความงามทางสายตาและการออกแบบ ทั้งงานที่ทำด้วยมือ (Traditional) และงานดิจิทัล (Digital Art)

  • งานที่ได้รับการคุ้มครอง:
    • จิตรกรรม (ภาพวาด, ภาพระบายสี), ภาพพิมพ์ (Prints), ภาพถ่าย (Photography)
    • ประติมากรรม (รูปปั้น, งานแกะสลัก, งานปั้น)
    • งานสถาปัตยกรรม (แบบแปลนอาคาร, ตัวอาคารที่สร้างเสร็จ)
    • งานประยุกต์ศิลป์ (กราฟิกดีไซน์, โลโก้, ลวดลายบนผลิตภัณฑ์, Digital Art, NFT)
    • ภาพร่างแบบ (Sketch) และงานตกแต่งทางสถาปัตยกรรม

4. งานดนตรีกรรม

งานดนตรีกรรม (Musical Work) คืองานประพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ทางด้านเสียง ทั้งในส่วนของ ทำนอง คำร้อง และการเรียบเรียงเสียงประสาน โดยคุ้มครองตัว “บทเพลง” ที่ถูกเขียนหรือประพันธ์ขึ้น

  • งานที่ได้รับการคุ้มครอง: คำร้อง, ทำนองเพลง (Melody) ที่มีเอกลักษณ์, โน้ตดนตรี (Sheet Music), การเรียบเรียงเสียงประสาน (Orchestration), และการปรับทำนองของเพลงที่มีอยู่เดิม

ข้อยกเว้นที่สำคัญ: งานดนตรีกรรมจะคุ้มครองเฉพาะ “การประพันธ์” เท่านั้น ไม่รวมถึงการบรรเลง หรือการแสดงจริงของนักดนตรีหรือนักร้อง ซึ่งส่วนนี้จะไปได้รับการคุ้มครองในฐานะ สิ่งบันทึกเสียง (Sound Recording) หรือ สิทธิข้างเคียง แทน

5. งานโสตทัศนวัสดุ

งานโสตทัศนวัสดุ (Audiovisual Work) หมายถึงผลงานที่ประกอบด้วย ทั้งภาพและเสียงที่สัมพันธ์กัน และสามารถนำมาเล่นซ้ำได้ ซึ่งเป็นสื่อบันทึกภาพและเสียงทั่วไปที่ไม่เข้าข่ายงานภาพยนตร์

  • งานที่ได้รับการคุ้มครอง: มิวสิกวิดีโอ (MV), วิดีโอคลิปสั้น ๆ ที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์, วิดีโอเทป, VCD, สื่อการสอน หรือ Video Presentation ที่มีภาพและเสียงประกอบ

6. งานภาพยนตร์

งานภาพยนตร์ (Cinematographic Work) เป็นผลงานที่มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง (อาจมีเสียงหรือไม่มีเสียงก็ได้) เพื่อ เล่าเรื่องราว หรือสื่อสารความบันเทิงอย่างเป็นระบบ ซึ่งมักมีความยาวและองค์ประกอบที่ซับซ้อนตามแบบแผนการผลิต

  • งานที่ได้รับการคุ้มครอง: ภาพยนตร์, สารคดี, ซีรีส์ออนไลน์, รายการโทรทัศน์, และเสียงประกอบภาพยนตร์

7. สิ่งบันทึกเสียง

สิ่งบันทึกเสียง (Sound Recording) คือการบันทึกเสียงพูด เสียงเพลง หรือเสียงอื่น ๆ โดยไม่รวมภาพ ซึ่งคุ้มครอง “ไฟล์เสียงต้นฉบับ” หรือ Master File ของการบันทึกเสียงที่เกิดขึ้นจริง

  • งานที่ได้รับการคุ้มครอง: Master File ของเพลงที่ถูกบันทึกในสตูดิโอ, ไฟล์เสียงพอดแคสต์ (Podcast), แผ่นเสียง, เทปเพลง, ซีดีเพลง, สื่ออื่นที่บันทึกเสียงเพลง, เสียงพูด, เสียงอื่น ๆ โดยไม่รวมภาพ, การบันทึกเสียงบรรยาย, และ Sound Effect ที่ผลิตขึ้น

8. งานแพร่เสียงแพร่ภาพ

งานแพร่เสียงแพร่ภาพ (Broadcast Work) คือการนำเสนอผลงานโดยอาศัย สื่อกระจายเสียงหรือแพร่ภาพอย่างต่อเนื่องสู่สาธารณะ โดยคุ้มครองการถ่ายทอดสัญญาณเสียงหรือภาพไปยังสาธารณะ

  • งานที่ได้รับการคุ้มครอง: การถ่ายทอดรายการวิทยุ, การกระจายเสียงทางวิทยุ, รายการโทรทัศน์, การสตรีมมิ่งสด (Live Streaming) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์, สัญญาณออกอากาศจากสถานีหลัก, และการแพร่เสียงหรือแพร่ภาพซ้ำ

9. งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี วิทยาศาสตร์ หรือศิลปะ

หมวดหมู่นี้ใช้รองรับงานสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งอาจไม่เข้าเกณฑ์ใน 8 ประเภทหลักอย่างชัดเจน แต่ถือว่าจัดอยู่ในหมวดของวรรณคดี วิทยาศาสตร์ หรือศิลปะ และสามารถแสดงออกเป็นรูปธรรมได้

งานที่ได้รับการคุ้มครอง: โมเดล 3 มิติ (3D Modeling), UX/UI Design ของแอปพลิเคชัน, งานสื่ออินเทอร์แอกทีฟ (Interactive Media), ผลงานเชิงวิชาการ ที่แสดงออกเป็นรูปธรรม, และการออกแบบจัดนิทรรศการที่มีรูปแบบเฉพาะ

ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท

ลิขสิทธิ์ไทยกับต่างประเทศ: ความคุ้มครองข้ามพรมแดน

เมื่อผลงานสร้างสรรค์ในกลุ่ม ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ผู้สร้างสรรค์อาจสงสัยว่าสิทธิของตนจะได้รับความคุ้มครองในต่างประเทศได้อย่างไร หลักการดังกล่าวมีที่มาจากข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก เช่น อนุสัญญาเบิร์น (Berne Convention)

ภายใต้อนุสัญญาเบิร์น ซึ่งมีประเทศสมาชิกเกือบ 180 ประเทศ ได้ใช้ หลักการถือชาติเหมือนกัน (National Treatment) นั่นหมายความว่า งานที่มีลิขสิทธิ์ในประเทศไทย เช่น งานวรรณกรรม หรือ งานศิลปกรรม จะได้รับการคุ้มครองในประเทศสมาชิกอื่น ๆ โดยอัตโนมัติ และถือเสมือนเป็นงานที่สร้างขึ้นในประเทศนั้น ๆ ทันทีที่สร้างสรรค์เสร็จสมบูรณ์ โดยไม่ต้องไปจดทะเบียนซ้ำ

ดังนั้น ไม่ว่าผลงานของคุณจะอยู่ในประเภทใดใน ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท คุณสามารถมั่นใจได้ว่าสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการควบคุมและการใช้ประโยชน์จากผลงานของคุณจะได้รับการคุ้มครองในระดับสากล ผ่านกลไกของอนุสัญญาระหว่างประเทศเหล่านี้

การโอนสิทธิ์และอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ (License) ทำอย่างไรให้ถูกต้อง?

การสร้างรายได้จากผลงานในกลุ่ม ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท มักมาจากการอนุญาตให้ผู้อื่นนำไปใช้ โดยมีวิธีการหลัก ๆ สองรูปแบบ ซึ่งผู้สร้างสรรค์ต้องเข้าใจความแตกต่างเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

การอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing)

การอนุญาตให้ใช้สิทธิ คือการที่เจ้าของลิขสิทธิ์ยังคงเป็นเจ้าของสิทธินั้นอยู่ แต่ “อนุญาต” ให้บุคคลอื่นนำผลงานไปใช้ประโยชน์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา เช่น ระยะเวลาการใช้, ขอบเขตพื้นที่การใช้, และการจ่ายค่าตอบแทน (Royalty) วิธีนี้เป็นที่นิยมใช้เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องจากผลงาน

  • ตัวอย่าง: เจ้าของ งานดนตรีกรรม อนุญาตให้ใช้เพลงประกอบในโฆษณาเป็นเวลาหนึ่งปี โดยจำกัดการใช้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

การโอนสิทธิ (Assignment)

การโอนสิทธิ คือการที่เจ้าของลิขสิทธิ์โอนความเป็นเจ้าของทั้งหมดหรือบางส่วนในผลงานให้กับบุคคลอื่นโดยถาวรหรือภายใต้เงื่อนไขที่ตกลงกัน เมื่อโอนสิทธิแล้ว ผู้รับโอนจะกลายเป็นเจ้าของสิทธิแต่เพียงผู้เดียว

  • ตัวอย่าง: นักเขียน งานวรรณกรรม ตกลงโอนลิขสิทธิ์ต้นฉบับหนังสือให้กับสำนักพิมพ์ ทำให้สำนักพิมพ์มีสิทธิ์ในการทำซ้ำและดัดแปลงผลงานนั้นแทน

สิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกรรมเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ของงานใน ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท คือการ จัดทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ระบุรายละเอียดและขอบเขตของสิทธิ์ที่โอนหรืออนุญาตอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดหรือข้อพิพาททางกฎหมาย

คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับลิขสิทธิ์

เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจในทางปฏิบัติ มาดูคำถามยอดนิยมที่เกี่ยวข้องกับลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นข้อสงสัยที่หลายคนอาจต้องการคำตอบ

1. กฎหมายลิขสิทธิ์ มีมาตราอะไรบ้าง?

ลิขสิทธิ์ในประเทศไทยอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เป็นหลัก และที่สำคัญคือได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง เช่น ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2558 (เน้นการคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิ) และ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (มุ่งเน้นการรองรับการใช้สื่อดิจิทัลและการปราบปรามการละเมิดออนไลน์)

กฎหมายฉบับแก้ไขใหม่ ๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การคุ้มครองลิขสิทธิ์สามารถปรับตัวเข้ากับยุคอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง การทำซ้ำ หรือการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ผ่านช่องทางดิจิทัล

2. ลิขสิทธิ์ และ สิทธิบัตร ต่างกันอย่างไร?

ลิขสิทธิ์ (Copyright) คุ้มครองการแสดงออกของความคิดสร้างสรรค์ เช่น เพลง บทความ ภาพวาด โค้ดโปรแกรม (เน้นรูปแบบที่ปรากฏ) สิทธิจะเกิดขึ้นทันทีที่ผลงานถูกร้างสรรค์ขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน

ส่วนสิทธิบัตร (Patent) คุ้มครอง แนวคิด หลักการ หรือวิธีการทำงาน ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น เครื่องจักร สูตรยา เทคโนโลยีใหม่ (เน้นฟังก์ชันและประโยชน์ใช้สอย) โดยต้องยื่นคำขอ และสิทธิจะได้รับความคุ้มครองหลังจากผ่านการตรวจสอบและอนุมัติจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา

3. การกระทำแบบใดบ้างจัดว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์?

มีทั้งการ คัดลอก ดัดแปลง เผยแพร่ หรือทำซ้ำผลงาน โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการโพสต์เนื้อหาในโซเชียลมีเดียโดยไม่อ้างอิงแหล่งที่มา

4. ลิขสิทธิ์คุ้มครองกี่ปี?

ระยะเวลาคุ้มครองลิขสิทธิ์ในประเทศไทยมีความชัดเจน ดังนี้:

  • ผู้สร้างสรรค์ทั่วไป: ลิขสิทธิ์จะคุ้มครอง ตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์ และต่อเนื่องไปอีก 50 ปีนับจากปีที่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต (เช่น หากเสียชีวิตปี 2560 ลิขสิทธิ์จะหมดอายุ 31 ธันวาคม 2610)
  • นิติบุคคล (บริษัท) หรือการสร้างสรรค์โดยนามแฝง: คุ้มครอง 50 ปีนับจากวันสร้างสรรค์ หรือ 50 ปีนับจากวันเผยแพร่ครั้งแรก (แล้วแต่ว่าเวลาใดจะสิ้นสุดทีหลัง)
  • งานภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง งานแพร่เสียงแพร่ภาพ: คุ้มครอง 50 ปีนับจากวันสร้างสรรค์ หรือ 50 ปีนับจากวันเผยแพร่ (แล้วแต่ว่าเวลาใดจะสิ้นสุดก่อน)

5. ลิขสิทธิ์ และ เครื่องหมายการค้า ต่างกันอย่างไร?

แม้จะเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเหมือนกัน แต่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:

  • ลิขสิทธิ์ (Copyright): ปกป้องผลงานทางความคิด ในเชิงศิลปะ วรรณกรรม และการแสดงออก (เช่น เพลง, บทความ, ภาพวาด, โค้ดโปรแกรม)
  • เครื่องหมายการค้า (Trademark): ปกป้องชื่อ โลโก้ คำ หรือสัญลักษณ์ ที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของและจำแนกสินค้า/บริการออกจากคู่แข่ง (ใช้ในทางการค้า) เช่น ชื่อแบรนด์, ตราสินค้า, สโลแกน

ตัวอย่าง: เพลงของศิลปินได้รับการคุ้มครอง ลิขสิทธิ์ ส่วนชื่อวงดนตรีและโลโก้ของวงนั้นได้รับการคุ้มครองเป็น เครื่องหมายการค้า

สรุป

การทำความเข้าใจ ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท คือรากฐานสำคัญในการปกป้องผลงานทรัพย์สินทางปัญญา ของผู้สร้างสรรค์ทุกคน ลิขสิทธิ์ คุ้มครองงานที่หลากหลาย ตั้งแต่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (งานวรรณกรรม) ไปจนถึงงานศิลปกรรม และงานดนตรีกรรม โดยสิทธิจะเกิดขึ้นทันทีที่สร้างสรรค์ผลงาน

การทราบขอบเขตของ ลิขสิทธิ์ 9 ประเภท ช่วยให้คุณสามารถใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการทำซ้ำหรือดัดแปลงผลงานได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งสามารถโอนสิทธิ หรือออกใบอนุญาตให้ใช้สิทธิ เพื่อสร้างรายได้เชิงพาณิชย์ อีกทั้งยังทำให้มั่นใจได้ว่างานของคุณได้รับการคุ้มครองข้ามพรมแดน การเข้าใจวิธีปกป้องลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาผลประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์ของคุณ

หากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง หรือต้องการทราบว่างานของคุณสามารถได้รับการคุ้มครองอย่างไร ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก AKIP Venture พร้อมให้คำปรึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ “ฟรี”
ติดต่อเราได้ที่เบอร์ 065-989-9815 หรือ Line ID: @akipventure (มี @)