ละเมิดลิขสิทธิ์ มีอะไรบ้าง? สิ่งที่ควรรู้ก่อนเผยแพร่ผลงาน พร้อมวิธีป้องกันการละเมิด

ละเมิดลิขสิทธิ์ มีอะไรบ้าง

ในยุคที่ทุกคนสามารถสร้างและเผยแพร่ผลงานได้เพียงปลายนิ้ว การเข้าใจว่า “ละเมิดลิขสิทธิ์ มีอะไรบ้าง” จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะเพียงแค่การแชร์รูปภาพ หรือคัดลอกข้อความจากอินเทอร์เน็ตโดยไม่อ้างอิงเจ้าของ ก็อาจถือเป็นการละเมิดได้โดยไม่รู้ตัว ความเข้าใจเรื่องนี้ไม่เพียงช่วยป้องกันปัญหาทางกฎหมาย แต่ยังสร้างความเคารพต่อทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น ซึ่งเป็นรากฐานของการทำงานสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนในทุกวงการ บทความนี้ AKIP Venture จะพาผู้อ่านทุกคนไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์กัน

การละเมิดลิขสิทธิ์ คืออะไร?

การละเมิดลิขสิทธิ์ (Copyright Infringement) คือการนำผลงานของผู้อื่นที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายลิขสิทธิ์ไปใช้ ดัดแปลง ทำซ้ำ หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของสิทธิ ซึ่งอาจทำให้เจ้าของผลงานได้รับความเสียหายทั้งทางทรัพย์สินและชื่อเสียง

ในประเทศไทย การคุ้มครองลิขสิทธิ์อยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยระบุอย่างชัดเจนว่าผู้ใดกระทำการกับผลงานที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นการละเมิดและมีโทษตามกฎหมาย การเข้าใจขอบเขตของคำว่า “ละเมิดลิขสิทธิ์” จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลและสื่อถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็ว

ละเมิดลิขสิทธิ์ มีอะไรบ้าง?

เมื่อพูดถึงการละเมิดลิขสิทธิ์ หลายคนมักนึกถึงการ “ก็อปปี้” งานของผู้อื่น แต่ในความเป็นจริง การละเมิดสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ และบางครั้งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ มาดูประเภทหลักของการละเมิดที่กฎหมายไทยให้การคุ้มครอง

1. การทำซ้ำ

การทำซ้ำ (Reproduction) หมายถึงการคัดลอกหรือทำสำเนางานต้นฉบับไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ การทำซ้ำครอบคลุมถึงการบันทึกเสียง, การถ่ายภาพ, การถ่ายเอกสาร, การอัดสำเนาในสื่อดิจิทัลทุกชนิด เช่น การคัดลอก (Copy-Paste) โค้ดซอฟต์แวร์ทั้งหมด, การดาวน์โหลด (Download) ไฟล์เพลงหรือภาพยนตร์โดยผิดกฎหมาย, หรือการทำซ้ำภาพวาดจากงานศิลปกรรม เพื่อนำไปใช้ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือเป็นการละเมิดทันที แม้จะไม่ได้ใช้เพื่อการค้าก็ตาม

2. การดัดแปลง

การดัดแปลง (Adaptation) คือการนำผลงานที่มีลิขสิทธิ์มาปรับเปลี่ยนเนื้อหา รูปแบบ โครงสร้าง หรือเปลี่ยนประเภท โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ การดัดแปลงครอบคลุมถึงการนำบทความของผู้อื่นมาเขียนใหม่โดยเปลี่ยนถ้อยคำเพียงเล็กน้อย (Paraphrasing) โดยไม่อ้างอิงแหล่งที่มา, การนำภาพถ่ายไป ตัดต่อ (Remix) หรือรวมกับภาพอื่น, การใช้เพลงเดิมมาทำเป็นเวอร์ชันรีมิกซ์ (Remix), หรือแม้แต่การนำนวนิยายไปทำเป็นบทภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต

3. การเผยแพร่หรือแสดงต่อสาธารณะ 

การเผยแพร่ต่อสาธารณะ (Public Performance) หมายถึงการนำผลงานไปแสดง, เผยแพร่, หรือสื่อสารสู่สาธารณชน ไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของสิทธิ การกระทำนี้รวมถึงการเปิดเพลงในร้านอาหาร, โรงแรม, หรือศูนย์การค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเพลง (เพราะถือว่าเป็นการใช้เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ), การจัดแสดงงานศิลปะในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, หรือการโพสต์เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น (เช่น คลิปภาพยนตร์หรือเพลง) ลงในโซเชียลมีเดียของตนเอง

4. การจำหน่ายหรือให้เช่าสำเนาที่ละเมิด

การผลิต, จำหน่าย, เสนอขาย, ให้เช่า, หรือนำเข้าผลงานที่ทำซ้ำอย่างผิดกฎหมาย ถือเป็นการละเมิดที่ร้ายแรงและมีโทษทางอาญา การกระทำนี้รวมถึง การขายแผ่นซีดีเถื่อน, การจำหน่ายหนังสือหรือตำราเรียนที่ถ่ายเอกสารมาอย่างผิดกฎหมาย, การขายสินค้าที่ละเมิดงานศิลปกรรม เช่น เสื้อยืดพิมพ์ลายลิขสิทธิ์ปลอม หรือ การจำหน่ายซอฟต์แวร์ปลอม (Pirated Software) ที่ทำซ้ำมาจากต้นฉบับอย่างผิดกฎหมาย

5. การละเมิดโดยอ้อม 

การละเมิดโดยอ้อมเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งรู้หรือมีเหตุอันควรรู้ ว่าผลงานนั้นทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ยังคงช่วยเหลือ สนับสนุน หรืออำนวยความสะดวกให้ผู้อื่นกระทำการละเมิดนั้นต่อไป การละเมิดประเภทนี้มักเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า เช่น การนำเข้าผลงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์เข้ามาในประเทศเพื่อการค้า, การจัดหาพื้นที่เก็บข้อมูลให้เว็บไซต์ที่เผยแพร่เนื้อหาผิดกฎหมาย (Hosting), หรือการตั้งใจอัปโหลดไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์ลงแพลตฟอร์ม เพื่อให้คนอื่นดาวน์โหลดอย่างผิดกฎหมาย

ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ (Fair Use) มีอะไรบ้าง?

แม้ว่าการทำซ้ำ ดัดแปลง หรืองานเผยแพร่ต่อสาธารณชนจะจัดเป็นการใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่กฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยก็ได้กำหนด “ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์” หรือที่เรียกกันในระดับสากลว่า Fair Use ไว้ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการปกป้องสิทธิ์ของผู้สร้างสรรค์กับการใช้ประโยชน์สาธารณะ เช่น เพื่อการศึกษาหรือการวิจารณ์

หลักการสำคัญของข้อยกเว้นนี้คือ การใช้งานนั้นต้อง “ไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์และไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร”

ข้อยกเว้นที่พบบ่อยและผู้สร้างสรรค์ควรรู้ ได้แก่:

  • เพื่อการวิจัยหรือศึกษา: การนำงานไปใช้เพื่อการวิจัยหรือศึกษา โดยไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร
  • เพื่อประโยชน์ส่วนตน: การใช้งานเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อประโยชน์ของตนเองและบุคคลอื่นในครอบครัวหรือญาติสนิทเท่านั้น
  • เพื่อการติชมหรือวิจารณ์: การนำงานไปใช้เพื่อการติชม วิจารณ์ หรือแนะนำผลงาน โดยต้องมีการระบุถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานนั้นอย่างชัดเจน
  • เพื่อการรายงานข่าว: การเสนอรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชน โดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงาน
  • เพื่อการสอน: การทำซ้ำ ดัดแปลง นำออกแสดง หรือทำให้ปรากฏโดยผู้สอน เพื่อประโยชน์ในการสอนของตน โดยมิใช่การกระทำเพื่อหากำไร

การอ้างสิทธิ Fair Use ไม่ใช่การกระทำที่สามารถทำได้โดยอัตโนมัติ แต่จะถูกพิจารณาเป็นกรณีไปตามวัตถุประสงค์และลักษณะของการใช้ รวมถึงปริมาณที่นำไปใช้ เมื่อเทียบกับผลงานต้นฉบับ

พฤติกรรมที่เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว! 

หลายคนอาจคิดว่าตนไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ในความเป็นจริง พฤติกรรมบางอย่างที่ดูเล็กน้อยในชีวิตประจำวันอาจเข้าข่ายการละเมิดได้เช่นกัน

1. ดาวน์โหลดเพลง ภาพยนตร์ หรือซอฟต์แวร์โดยไม่ได้รับอนุญาต

การดาวน์โหลดหรือใช้สื่อบันเทิงที่ไม่มีใบอนุญาต เช่น เพลง ภาพยนตร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ ถือเป็นความผิด ไม่ว่าจะเพื่อใช้ส่วนตัวหรือเพื่อการค้า เจ้าของผลงานมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้

2. ใช้รูปภาพหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์โดยไม่ได้รับอนุญาต

หลายคนมักคัดลอกรูปภาพหรือข้อความจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มาใช้ในการออกแบบ โพสต์โซเชียล หรือบทความ โดยไม่ขออนุญาตหรือให้เครดิต การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าของเนื้อหา แม้จะใช้เพียงบางส่วนก็ตาม

3. แชร์งานสร้างสรรค์ของผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย

แม้การแชร์คอนเทนต์จะเป็นเรื่องปกติในยุคออนไลน์ แต่หากนำภาพ วิดีโอ หรือบทความของผู้อื่นมาโพสต์ใหม่โดยไม่ระบุแหล่งที่มา หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบจนทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลงานของตน ก็ถือเป็นการละเมิดเช่นกัน

บทลงโทษทางกฎหมายหากกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์

การละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะกฎหมายไทยกำหนดโทษไว้ทั้งทางอาญาและทางแพ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ประโยชน์จากผลงานของผู้อื่นโดยมิชอบ

บทลงโทษทางอาญา (จำคุก, ปรับ)

ผู้ที่กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์อาจได้รับโทษ จำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการละเมิด เช่น การจำหน่ายซอฟต์แวร์ปลอม หรือเผยแพร่ภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต

บทลงโทษทางแพ่ง (การเรียกค่าเสียหาย)

นอกจากโทษทางอาญา เจ้าของผลงานยังสามารถ ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ได้ โดยศาลอาจพิจารณาให้ชดใช้ตามมูลค่าความเสียหายจริง หรือคิดตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในบางกรณีอาจสูงถึงหลายล้านบาท

วิธีป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์

แทนที่จะรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ไข การรู้จักวิธีป้องกันตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก ทั้งในมุมของผู้สร้างสรรค์และผู้ใช้งาน

1. ตรวจสอบสิทธิของผลงานก่อนใช้

ก่อนนำงานใด ๆ มาใช้งาน ควรตรวจสอบแหล่งที่มาว่าอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์หรือไม่ โดยเฉพาะภาพ วิดีโอ และซอฟต์แวร์ เนื่องจากผลงานเกือบทั้งหมดได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์โดยอัตโนมัติ หากไม่แน่ใจในสถานะการใช้งาน ให้ค้นหาผลงานที่ระบุสถานะการใช้งานชัดเจน เช่น Free for Commercial Use ซึ่งมีเงื่อนไขการใช้และการให้เครดิตกำหนดไว้ เพื่อป้องกันปัญหาการละเมิดในภายหลัง

2. ขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ 

การขออนุญาตจากเจ้าของผลงานเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการละเมิด โดยสามารถติดต่อเจ้าของผลงานโดยตรง หรือใช้บริการของที่ปรึกษาด้านการจดลิขสิทธิ์เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้งานเป็นไปอย่างถูกต้องทางกฎหมาย

3. ใช้ผลงานที่อยู่ในสาธารณสมบัติ (Public Domain) หรือมีใบอนุญาตแบบ Creative Commons

หากต้องการใช้เนื้อหาหรือสื่อเพื่อการผลิตคอนเทนต์ ควรเลือกผลงานที่อยู่ใน Public Domain (สาธารณสมบัติ) ซึ่งหมดอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์แล้ว หรือมีใบอนุญาต Creative Commons (CC License) ซึ่งเปิดให้ใช้ได้ฟรีภายใต้เงื่อนไข เช่น ต้องให้เครดิต (CC BY), ห้ามใช้เพื่อการค้า (CC NC), หรือห้ามดัดแปลง (CC ND) ซึ่งช่วยให้ผู้สร้างสรรค์สามารถกำหนดขอบเขตการใช้งานงานของตนเองได้อย่างยืดหยุ่น

สรุป

การเข้าใจว่าการละเมิดลิขสิทธิ์มีอะไรบ้าง ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของกฎหมายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเคารพความคิดสร้างสรรค์ของผู้อื่น และการสร้างวัฒนธรรมการใช้ผลงานอย่างรับผิดชอบ สำหรับผู้สร้างสรรค์เอง การรู้สิทธิของตนและป้องกันการละเมิดตั้งแต่ต้น เช่น การจดลิขสิทธิ์ จะช่วยให้ผลงานของคุณได้รับการคุ้มครองและสร้างมูลค่าในระยะยาว

ในโลกที่ข้อมูลหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว การมีความรู้เรื่องลิขสิทธิ์ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันปัญหาทางกฎหมาย แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับผลงานของคุณในฐานะ “เจ้าของสิทธิตัวจริง”

หากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง หรือต้องการทราบว่างานของคุณสามารถได้รับการคุ้มครองอย่างไร ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก AKIP Venture พร้อมให้คำปรึกษาเบื้องต้น “ฟรี”
ติดต่อเราได้ที่เบอร์ 065-989-9815 หรือ Line ID: @akipventure (มี @)